วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความสำคัญของนวัตกรรมและเทคโนโลยี

                                         


ความสำคัญของนวัตกรรม
         “... คนเรานั้นจะต้องมี นวัตกรรม คือต้อง innovative หรือต้องรู้จักสร้างสรรค์ ต้องมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ว่าก็ต้องสามารถปรับโลกให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นอยู่หรือความพอใจความสุขสบายของตัวเองเหมือนกัน ต้องแก้ปัญหาด้วยความคิด พอทางหนึ่งตันก็ต้องหาทางใหม่ ไม่งอมืองอเท้า ยิ่งใน ภาวะวิกฤต ยิ่งต้องการนวัตกรรม ซึ่งไม่เฉพาะแต่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นนวัตกรรมของทั้งระบบโดยรวม ตั้งแต่สังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม...” 


         สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การแสดงปาฐกถาเรื่อง “เทคโนโลยี นวัตกรรม กับการพัฒนาประเทศ” ในการประชุมประจำปีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2542

         นวัตกรรมคืออะไร? เหตุใดคนเราจึงจำเป็นต้องมีนวัตกรรม?


         คำว่า "นวัตกรรม" หรือ นวกรรม มาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Innovation" โดยคำว่า นวัตกรรม มีรูปศัพท์เดิมมาจากภาษาบาลี คือ นว+อตต+กรรม กล่าวคือ นว แปลว่า ใหม่ อัตต แปลว่า ตัวเอง และกรรม แปลว่า การกระทำ เมื่อรวมคำ นว มาสนธิกับ อัตต จึงเป็น นวัตต และ เมื่อรวมคำ นวัตต มาสมาส กับ กรรม จึงเป็นคำว่า นวัตกรรม แปลตามรากศัพท์เดิมว่า การกระทำที่ใหม่ของตนเอง หรือ การกระทำของตนเองที่ใหม่ (เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต, 2528)

          ส่วนคำว่า "นวกรรม" ที่มีใช้กันมาแต่เดิม มีรากศัพท์เดิมมาจากคำว่า นว แปลว่า ใหม่ กรรม แปลว่า การกระทำ จึงแปลตามรูปศัพท์เดิมว่าเป็นการปฏิบัติหรือการกระทำใหม่ๆ

          การพิจารณาว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นนวัตกรรมนั้น Everette M. Rogers ได้ชี้ให้เห็นว่าขึ้นอยู่กับการรับรู้ของแต่ละบุคคลหรือกลุ่มบุคคลว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา ดังนั้นนวัตกรรมของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจไม่ใช่นวัตกรรมของบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของบุคคลนั้นว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาหรือไม่ อีกประการหนึ่งความใหม่ (newness) อาจขึ้นอยู่กับระยะเวลาด้วย สิ่งใหม่ๆ ตามความหมายของนวัตกรรมไม่จำเป็นจะต้องใหม่จริงๆ แต่อาจจะหมายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นความคิดหรือการปฏิบัติที่เคยทำกันมาแล้วแต่ได้หยุดกันไประยะเวลาหนึ่ง ต่อมาได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาทำใหม่เนื่องจากเห็นว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาในสภาพการณ์ใหม่นั้นได้ ก็นับว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งใหม่ได้

          ดังนั้น นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ๆ ดังต่อไปนี้

1. สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อนเลย

2. สิ่งใหม่ที่เคยทำมาแล้วแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่

3. สิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม

         จากข้อความบางส่วนในการแสดงปาฐกถา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้รู้ความหมายของคำว่า "นวัตกรรม" แล้ว คงทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า นวัตกรรมมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ในยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนา การคิดค้น และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ให้เกิดขึ้นบนโลกใบใหญ่ใบนี้ เพราะหากมนุษย์เราไม่มีนวัตกรรมแล้ว ความเป็นอยู่ของมนุษย์โลกในทุกวันนี้ก็คงยังล้าหลังอยู่เช่นในอดีต และความสำคัญของนวัตกรรมคือ การทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นบนโลกใบนี้นั่นเอง...



ความสำคัญของเทคโนโลยีคือ

        ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา

            พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

พรบ.คอมพิวเตอร์ กับการใช้อินเตอร์เน็ต อย่างถูกกฏหมาย

พรบ.คอมพิวเตอร์
          พอยุคสมัยเปลี่ยนไปเทคโนโลยีก้าวล้ำ นอกจากปัจจัย 4 ก็ยังมีอินเทอร์เน็ตที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดั้งนั้นเรามาทำความรู้จักกับกฎหมายที่มีผลโดยตรงต่อการใช้อินเทอร์เน็ตในการรับรู้ข่าวสารและแสดงความคิดเห็นกับกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550”
         การออกพระราชบัญญัติฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายหลักๆ ก็คือ หนึ่ง ระบุความผิดและบทลงโทษต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างเช่น คนที่ไม่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามคำสั่งที่กำหนดหรือใช้ในการล่วงรู้ แก้ไขข้อมูลของบุคคลอื่นอย่างพวกแฮคเกอร์และ สองเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชนผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้เราไปละเมิดสิทธิ์ของใครและไม่ให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนกับเราได้นั่นเอง ส่วนที่ระบุ 2550 เพราะเป็นปีที่ออกและประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการออกกฎหมายในลักษณะนี้  ทีนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่าการทำความผิดตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.เป็นอย่างไรบ้าง
       ความผิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. ความผิดโดยระบบ คือ เราทำผิดที่ข้อมูลคอมฯ หรือตัวระบบฯ ซึ่งหมายถึงการขโมยข้อมูลและการแฮคระบบ
  2. ความผิดต่อเนื้อหา คือ การทำผิดแบบโพสเนื้อหาไปตามสื่อออนไลน์ ซึ่งเนื้อหาที่โพสนั้นมีลักษณะที่เป็นเท็จ, ว่ากล่าวให้ร้ายผู้อื่นทำให้เกิดความเสียหาย เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือ พวกเนื้อหาลามกอนาจาร
         ดังที่เราเห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ามีการแฮคเวปไซค์กระทรวงบ้าง หรือ แฮค Account ดาราคนดังบ้างแบบนี้เป็นความตั้งใจกระทำความผิด แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ คือ ความผิดประเภทที่สองนี่แหละ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น กรณีของเพจดัง “สมรัก พรรคเพื่อเก้ง” ที่ถูกนายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเตรียมฟ้องร้องกรณีนำภาพไปตัดต่อเชิงล้อเลียน เสียดสีทำให้เกิดความเสียหาย รวมถึงอีกหลายกรณีในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ตโดยเฉพาะเฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือข้อความที่เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเรื่องลามก แม้ตัวเราไม่ได้เป็นคนโพสแต่แค่กดไลน์หรือแชร์ข้อมูลต่อก็ถือเป็นความผิด
        ส่วนโทษของผู้ทำความผิดประเภทโพสเนื้อหาแชร์ข้อมูลพวกนี้ไปตามสื่อออนไลน์ ก็มีตั้งแต่จำคุกห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ แถมดีไม่ดีบางกรณีผู้ทำความผิดอาจได้คดีอาญาความผิดฐานหมิ่นประมาทเพิ่มมาอีกคดีด้วย
        โลกอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่สาธารณะไร้พรมแดนที่เราไม่อาจรู้ได้ว่า ข้อมูลที่เราโพสนั้นจะกระจายไปถึงไหน ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ ของเราบนอินเทอร์เน็ต ฉะนั้นจะโพสหรือแชร์ข้อมูลใดๆ อย่าได้นึกสนุกอย่างเดียวแต่ต้องคิดให้ดีทุกครั้งก่อนโพสด้วย เพราะคดีความไม่ใช่เรื่องตลก


ประวัติความเป็นมาของ Windows

เหตุการณ์สำคัญตั้งแต่ 25 ปีแรก 1975–1981: Microsoft เริ่มต้นขึ้น

การเริ่มต้น: Microsoft Paul Allen (ซ้าย) และ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้งในช่วงปี 2513 ที่ทำงานเราต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีด หากจำเป็นต้องทำสำเนาเอกสาร เราก็จะใช้เครื่องโรเนียวหรือกระดาษคาร์บอน มีน้อยมากที่จะได้ยินเกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ แต่เด็กหนุ่มสองคนที่ชื่นชอบคอมพิวเตอร์อย่าง Bill Gates และ Paul Allen กลับเห็นว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคือเส้นทางสู่อนาคต ในปี 2518 Gates และ Allen ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ Microsoft ซึ่งก็ไม่ต่างจากบริษัทที่เริ่มกิจการใหม่ส่วนใหญ่ โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ บนทุกโต๊ะทำงานและในทุกบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ ในปีต่อๆ มา Microsoft เริ่มเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรา

การเริ่มต้นของ MSDOS
ในเดือนมิถุนายน 2523 Gates และ Allen ได้ว่าจ้าง Steve Ballmer อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากฮาร์วาร์ดของ Gates ให้มาช่วยพวกเขาดำเนินกิจการของบริษัท ในเดือนต่อมา IBM ได้เข้ามาติดต่อ Microsoft เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า "Chess" ด้วยเหตุนี้ Microsoft จึงได้หันมาให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการใหม่ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการ หรือเรียกใช้ฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์และยังทำหน้าที่เชื่อมช่องว่างระหว่าง ฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์กับโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียกใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ พวกเขาตั้งชื่อระบบปฏิบัติการใหม่นี้ว่า "MSDOS" เมื่อมีการวางจำหน่ายพีซีของ IBM ที่ใช้ MSDOS ในปี 2524 ถือเป็นการเปิดตัวภาษาใหม่ให้สาธารณชนทั่วไปรู้จัก การพิมพ์ "C:" และคำสั่งที่เป็นรหัสต่างๆ เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานประจำวัน ผู้คนรู้จักแป้นเครื่องหมายทับขวา (\) MSDOS เป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็พบว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ยาก มีวิธีที่ดีกว่านั้นในการสร้างระบบปฏิบัติการ
1982–1985: การเปิดตัว Windows 1.0
Microsoft ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการใหม่รุ่นแรก Interface Manager เป็นชื่อรหัสและมีการเลือกให้เป็นชื่อสุดท้าย แต่ชื่อ Windows กลับมาเหนือกว่าเพราะอธิบายได้ดีที่สุดถึงกล่องหรือ "หน้าต่าง" ของคอมพิวเตอร์ที่เป็นรากฐานของระบบใหม่ Windows ได้รับการประกาศออกมาในปี 2526 แต่ก็มีการใช้เวลาระยะหนึ่งในการพัฒนา พวกชอบสงสัยเรียกว่าระบบนี้ว่า "ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีจริง"
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 สองปีหลังจากการประกาศเปิดตัวครั้งแรก Windows วางจำหน่าย Windows 1.0 ตอนนี้ แทนที่จะพิมพ์คำสั่ง MSDOS คุณเพียงแค่เลื่อนเมาส์เพื่อชี้และคลิกที่ตำแหน่งต่างๆ บนหน้าจอ หรือ "หน้าต่าง" เท่านั้น Bill Gates พูดว่า "นี่คือซอฟต์แวร์พิเศษเฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้พีซีอย่างแท้จริง…" เมนูแบบหล่นลง แถบเลื่อน ไอคอน และกล่องโต้ตอบทำให้การเรียนรู้และใช้งานโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้น คุณสามารถสลับระหว่างโปรแกรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องออกจากอีกโปรแกรมหรือเริ่มระบบใหม่ Windows 1.0 วางจำหน่ายพร้อมกับอีกหลายๆ โปรแกรม ซึ่งได้แก่ การจัดการแฟ้ม MSDOS โปรแกรมระบายสี, Windows Writer, แผ่นจดบันทึก เครื่องคิดเลข และปฏิทิน แฟ้มการ์ด และนาฬิกาเพื่อช่วยคุณจัดการกับงานในแต่ละวัน และยังมีกระทั่งเกม Reversi
1987–1992: Windows 2.0–2.11 - หน้าต่างมากขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้น
ในวันที่ 9 ธันวาคม 2530 Microsoft ได้วางจำหน่าย Windows 2.0 ที่มีไอคอนบนเดสก์ท็อปและหน่วยความจำส่วนขยาย ด้วยการสนับสนุนกราฟิกที่ได้รับการปรับปรุง ตอนนี้คุณสามารถซ้อนทับหน้าต่าง ควบคุมเค้าโครงของหน้าจอ และใช้แป้นพิมพ์เพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางคนเขียนโปรแกรมแรกของตนเองบน Windows รุ่นนี้
Windows 2.0 ออกแบบมาสำหรับการใช้งานกับตัวประมวลผล Intel 286 เมื่อมีการวางจำหน่ายตัวประมวลผล Intel 386 Windows/386 ก็ออกตามมาทันทีเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของหน่วยความจำส่วนขยาย Windows รุ่นต่อมายังคงมีการปรับปรุงความเร็ว ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการใช้งานของพีซีอย่างต่อเนื่อง ในปี 2531 Microsoft กลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สำหรับพีซีรายใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากยอดขายคอมพิวเตอร์เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ที่ทำงานใน สำนักงานบางแห่ง
1990–1994: Windows 3.0–Windows NT การใช้กราฟิก
ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2533 Microsoft ได้ประกาศเปิดตัว Windows 3.0 และตามมาด้วย Windows 3.1 ในปี 2535 เมื่อนับรวมกัน ทั้งสองรุ่นสามารถขายได้ 10 ล้านสำเนาในระยะเวลา 2 ปีแรก ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่มีการใช้กันแพร่หลายมากที่สุด จากความสำเร็จนี้ทำให้ Microsoft ปรับปรุงแผนการก่อนหน้านี้ หน่วยความจำเสมือนช่วยปรับปรุงกราฟิกการแสดงผล ในปี 2533 Windows เริ่มมีลักษณะเหมือนกับรุ่นที่ใช้งานกันอยู่ ในตอนนี้ Windows ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีขึ้นอย่างมาก มีการ์ดกราฟิกขั้นสูง 16 สี และไอคอนที่ปรับปรุงใหม่ คลื่นลูกใหม่ของพีซี 386 ช่วยผลักดันความนิยมของ Windows 3.0 ให้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตัวประมวลผล Intel 386 ทำให้สามารถเรียกใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวจัดการโปรแกรม ตัวจัดการแฟ้ม และตัวจัดการการพิมพ์มีการเพิ่มเข้ามาใน Windows 3.0

Bill Gates แสดง Windows 3.0 รุ่นที่วางจำหน่ายล่าสุดซอฟต์แวร์ Windows มีการติดตั้งโดยใช้ฟลอปปีดิสก์ที่อยู่ในกล่องขนาดใหญ่พร้อมมีคู่มือการใช้งานเล่มหนา ความนิยมของ Windows 3.0 เติมโตพร้อมกับการวางจำหน่าย Windows software development kit (SDK) ใหม่ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้มุ่งเน้นที่การเขียนโปรแกรมมากขึ้นและ ใช้เวลาในการเขียนโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์น้อยลง Windows มีการใช้งานในที่ทำงานและที่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ยังมีเกมต่างๆ เช่น Solitaire, Hearts และ Minesweeper โดยมีการโฆษณาว่า "ตอนนี้คุณสามารถใช้ความสามารถที่เหลือเชื่อของ Windows 3.0 เพื่อฆ่าเวลาได้แล้ว" Windows สำหรับ Workgroups 3.11 ได้เพิ่มเวิร์กกรุ๊ปแบบเพียร์ทูเพียร์และการสนับสนุนเครือข่ายโดเมน และเป็นครั้งแรกที่พีซีกลายเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ที่เกิดใหม่
Windows NT
เมื่อ Windows NT ออกวางจำหน่ายในวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 Microsoft ได้มาถึงช่วงระยะเวลาที่สำคัญ นั่นคือ โปรเจ็กต์ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2523 เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ขั้นสูงตั้งแต่เริ่มต้นได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว "Windows NT แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงรากฐานของวิธีการที่บริษัทต่างๆ สามารถใช้จัดการกับความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ของธุรกิจได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่า กัน" Bill Gates กล่าวไว้เมื่อออกวางจำหน่าย ซึ่งแตกต่างจาก Windows 3.1 อย่างไรก็ตาม Windows NT 3.1 เป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่รองรับโปรแกรมทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ระดับสูง
1995–2001: Windows 95 - เติบโตเต็มที่
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2538 Microsoft ได้ออกวางจำหน่าย Windows 95 ซึ่งสามารถสร้างสถิติทำยอดขายได้ถึง 7 ล้านสำเนาในช่วงห้าสัปดาห์แรก นับเป็นการเปิดตัวที่มีการเผยแพร่มากที่สุดที่ Microsoft เคยทำมา การโฆษณาทางโทรทัศน์ใช้เพลงของ Rolling Stones ที่ชื่อว่า"Start Me Up" อยู่เหนือรูปภาพของปุ่ม 'เริ่ม' ซึ่งเป็นปุ่มใหม่ ข่าวประชาสัมพันธ์เพียงแค่ขึ้นต้นว่า: "อยู่ที่นี่ไง"

วันเปิดตัว: Bill Gates แนะนำ Windows 95 นี่คือยุคของแฟกซ์/โมเด็ม อีเมล โลกออนไลน์แบบใหม่ และเกมมัลติมีเดียที่ละลานตาและซอฟต์แวร์ทางการศึกษา Windows 95 มีการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตในตัว การเชื่อมต่อเครือข่ายผ่านสายโทรศัพท์ และความสามารถใหม่ Plug and Play ที่ทำให้ติดตั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างง่ายดาย ระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิตยังมีความสามารถของมัลติมีเดียขั้นสูง คุณลักษณะมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพา และการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบครบวงจร ในช่วงเวลาที่มีการวางจำหน่าย Windows 95 ระบบปฏิบัติการ Windows และ MSDOS รุ่นก่อนหน้ามีการใช้งานอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของพีซีที่มีอยู่ในโลก Windows 95 เป็นการปรับรุ่นให้กับระบบปฏิบัติการเหล่านี้ เมื่อต้องการเรียกใช้ Windows 95 คุณจำเป็นต้องมีพีซีที่มีตัวประมวลผล 386DX หรือที่สูงกว่า (ขอแนะนำ 486) และมี RAM อย่างน้อย 4 MB (ขอแนะนำ RAM 8 MB) รุ่นสำหรับปรับรุ่นมีทั้งในรูปแบบฟลอปปีดิสก์และซีดีรอม โดยสามารถใช้งานได้ใน 12 ภาษา Windows 95 ยังมีการปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกของเมนู 'เริ่ม' แถบงาน และย่อเล็กสุด ขยายใหญ่สุด และปุ่มปิดบนแต่ละหน้าต่าง

1998–2000: Windows 98, Windows 2000, Windows Me
Windows 98
วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2541 Windows 98 เป็นรุ่นแรกของ Windows ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้ทั่วไป พีซีกลายเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปในที่ทำงานและที่บ้าน และร้านอินเทอร์เน็ตที่คุณสามารถออนไลน์เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย Windows 98 แสดงถึงการเป็นระบบปฏิบัติการที่ "ทำงานได้ดีขึ้น เล่นได้ดีกว่าเดิม" ด้วย Windows 98 คุณสามารถค้นหาข้อมูลบนพีซีของคุณและบนอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น การปรับปรุงอื่นๆ ได้แก่ ความสามารถในการเปิดและการปิดโปรแกรมที่รวดเร็วขึ้น และการสนับสนุนการอ่านดิสก์ดีวีดีและอุปกรณ์ universal serial bus (USB) ลักษณะที่ปรากฏเป็นครั้งแรกอีกอย่างคือ แถบ 'เปิดใช้งานด่วน' คุณสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้โดยไม่ต้องเปิดเมนู 'เริ่ม' หรือค้นหาโปรแกรมบนเดสก์ท็อป

Windows Me
ออกแบบมาสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่บ้าน Windows Me มีการปรับปรุงคุณลักษณะเกี่ยวกับเพลง วิดีโอ และเครือข่ายภายในบ้านจำนวนมาก และมีการปรับปรุงการทำงานให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน หน้า ลักษณะที่ปรากฏเป็นครั้งแรก ได้แก่ 'การคืนค่าระบบ' คุณลักษณะที่สามารถย้อนกลับการกำหนดค่าซอฟต์แวร์พีซีของคุณไปยังวันที่หรือ เวลาก่อนที่จะเกิดปัญหาได้ Windows Movie Maker ทำให้ผู้ใช้มีเครื่องมือที่สามารถแก้ไข บันทึกและแบ่งปันวิดีโอภาพครอบครัวในแบบดิจิทัล และด้วยเทคโนโลยี Microsoft Windows Media Player 7 คุณสามารถค้นหา จัดระเบียบ และเล่นสื่อดิจิทัลได้
Windows 2000 Professional
มากกว่าเพียงแค่การปรับรุ่นเป็น Windows NT Workstation 4.0 แต่ Windows 2000 Professional ออกแบบมาเพื่อแทนที่ Windows 95, Windows 98 และ Windows NT Workstation 4.0 บนเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปสำหรับธุรกิจทั้งหมด โดยสร้างบนฐานโค้ด Windows NT Workstation 4.0 ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายอดเยี่ยม Windows 2000 ได้เพิ่มการปรับปรุงที่สำคัญในด้านความน่าเชื่อถือ การใช้งานง่าย ความเข้ากันได้กับอินเทอร์เน็ต และการสนับสนุนการใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพา นอกจากการปรับปรุงต่างๆ แล้ว Windows 2000 Professional ยังทำให้การติดตั้งฮาร์ดแวร์เป็นเรื่องง่าย โดยการเพิ่มการสนับสนุนฮาร์ดแวร์ Plug and Play แบบใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์การเชื่อมต่อเครือข่ายขั้นสูงและระบบไร้สาย อุปกรณ์ USB อุปกรณ์ IEEE 1394 และอุปกรณ์อินฟราเรด
2001–2005: Windows XP - ความเสถียร ความพร้อมใช้งาน และความรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 มีการวางจำหน่าย Windows XP ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ออกแบบใหม่ โดยเน้นที่ความสามารถในการใช้งานและศูนย์บริการช่วยเหลือและวิธีใช้แบบครบ วงจรเป็นหลัก โดยสามารถใช้งานได้ใน 25 ภาษา นับแต่ช่วงกลางปี 2513 จนถึงการวางจำหน่าย Windows XP มีพีซีประมาณ 1 พันล้านเครื่องทั่วโลกที่มีการติดตั้งโปรแกรมนี้ สำหรับ Microsoft ระบบปฏิบัติการ Windows XP กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ด้วยความรวดเร็วและความสเถียรของระบบ การนำทางไปยังเมนู 'เริ่ม' แถบงาน และแผงควบคุมสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น การตระหนักเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์และแฮกเกอร์มีเพิ่มมากขึ้น แต่ความกลัวต่างๆ มีการทำให้สงบลงด้วยการนำเสนอการปรับปรุงด้านความปลอดภัยทางออนไลน์ ผู้ใช้เริ่มเข้าใจถึงคำเตือนเกี่ยวกับเอกสารแนบที่น่าสงสัยและไวรัส โดยมีการให้ความสำคัญกับบริการช่วยเหลือและวิธีใช้มากขึ้น
Windows XP Home Edition มีการออกแบบด้านภาพให้ดูสบายตาและเรียบง่าย ทำให้สามารถเข้าถึงคุณลักษณะที่ใช้งานบ่อยได้ง่ายขึ้น ออกแบบสำหรับการใช้งานภายในบ้าน Windows XP มีการปรับปรุงต่างๆ เช่น ตัวช่วยสร้างการติดตั้งเครือข่าย Windows Media Player, Windows Movie Maker และความสามารถด้านภาพถ่ายดิจิทัลขั้นสูง
Windows XP Professional นำรากฐานที่แข็งแกร่งของ Windows 2000 มาให้กับพีซีเดสก์ท็อป โดยการปรับปรุงความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ด้วยการออกแบบด้านการแสดงผลใหม่ล่าสุด Windows XP Professional ประกอบด้วยคุณลักษณะต่างๆ สำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ในธุรกิจและการใช้คอมพิวเตอร์ขั้นสูงที่บ้าน รวมถึงการสนับสนุนเดสก์ท็อประยะไกล และการเข้ารหัสระบบแฟ้ม และคุณลักษณะการคืนค่าระบบและการเชื่อมต่อเครือข่ายขั้นสูง การปรับปรุงที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ระบบเคลื่อนที่ ได้แก่ การสนับสนุนเครือข่ายไร้สาย 802.1x, Windows Messenger และความช่วยเหลือระยะไกล
Windows XP มีอยู่หลายรุ่นในช่วงปีเหล่านี้
  • Windows XP รุ่น 64 บิต (2001) เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นแรกของ Microsoft สำหรับตัวประมวลผล 64 บิตที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานกับหน่วยความจำขนาดใหญ่และโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น ลักษณะพิเศษของภาพยนตร์ ภาพเคลื่อนไหวสามมิติ โปรแกรมทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์
  • Windows XP Media Center Edition (2002) เหมาะสำหรับการใช้คอมพิเตอร์ภายในบ้านและการให้ความบันเทิง คุณสามารถเรียกดูอินเทอร์เน็ต ดูทีวีแบบสด เพลิดเพลินกับคอลเลกชันเพลงและวิดีโอดิจิทัล และดูดีวีดี
  • Windows XP Tablet PC Edition (2002) แสดงถึงวิสัยทัศน์ของการใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยปากกา แท็บเล็ตพีซีมีปากกาดิจิทัลสำหรับการรู้จำลายมือและคุณสามารถใช้เมาส์หรือ แป้นพิมพ์ได้เช่นกัน
เกร็ดน่าสนใจ: Windows XP เป็นการคอมไพล์จากโค้ดจำนวน 45 ล้านบรรทัด
2006–2008: Windows Vista- ประสิทธิภาพที่มาพร้อมความปลอดภัย
Windows Vista วางจำหน่ายในปี 2549 พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่สุด 'การควบคุมบัญชีผู้ใช้' ช่วยป้องกันซอฟต์แวร์ที่อาจเป็นอันตรายไม่ให้เปลี่ยนแปลงคอมพิวเตอร์ของคุณ ใน Windows Vista Ultimate การเข้ารหัสลับไดรฟ์ด้วย BitLocker ให้การปกป้องข้อมูลที่ดีกว่าสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ เนื่องจากยอดขายแล็ปท็อปและความต้องการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ Windows Vista ยังมีการปรับปรุงสำหรับ Windows Media Player เพื่อให้ผู้ใช้เห็นว่าพีซีของพวกเขาเป็นเป็นศูนย์รวมของสื่อดิจิทัลมากยิ่ง ขึ้น คุณจะสามารถดูทีวี ดูและส่งภาพถ่าย และแก้ไขวิดีโอบนพีซีได้
การออกแบบมีบทบาทสำคัญใน Windows Vista และคุณลักษณะต่างๆ เช่น แถบงานและเส้นขอบรอบหน้าต่างช่วยสร้างรูปลักษณ์ใหม่ การค้นหาเป็นคุณลักษณะใหม่ที่มีการให้ความสำคัญและช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาแฟ้มบน พีซีของตนได้รวดเร็วขึ้น Windows Vista นำเสนอโปรแกรมรุ่นใหม่ๆ ที่มีการผสมผสานของคุณลักษณะที่แตกต่างกัน โดยสามารถใช้งานได้ใน 35 ภาษา ปุ่ม 'เริ่ม' ที่ออกแบบใหม่ปรากฏเป็นครั้งแรกใน Windows Vista
2008 – 2012: Windows 7
ในปลายปี 2543 โลกเข้าสู่ยุคของระบบไร้สาย เมื่อ Windows 7 วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2552 แล็ปท็อปมียอดขายดีกว่าเดสก์ท็อปพีซีและมีการใช้งานออนไลน์กันโดยทั่วไปผ่าน ฮอตสปอตไร้สายสาธารณะ เช่น ร้านกาแฟ เครือข่ายไร้สายสามารถสร้างได้ในสำนักงานหรือบ้าน Windows 7 มีคุณลักษณะจำนวนมาก เช่น วิธีการใหม่ๆ ในการทำงานกับหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็น Snap, Peek หรือ Shake Windows Touch ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งให้คุณสามารถใช้นิ้วเพื่อเรียกดูเว็บ พลิกดูภาพถ่าย และเปิดแฟ้มและโฟลเดอร์ คุณสามารถส่งกระแสข้อมูลเพลง วิดีโอ และภาพถ่ายจากพีซีของคุณไปยังสเตอริโอหรือทีวี ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2553 Windows 7 สามารถขายได้เจ็ดสำเนาต่อวินาที ถือเป็นระบบปฏิบัติการที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์

การปรับปรุงในแถบงานของ Windows 7 ได้แก่ การแสดงตัวอย่างภาพขนาดย่อแบบทันที
2012 – ปัจจุบัน : Windows
Windows 8 เป็น Windows รุ่นแรกที่สนับสนุนการประมวลผลบน CPU แบบพกพาที่สามารถทำงานได้เหมือนกับการประมวลผลบน CPU ของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยแล็ปท็อปรุ่นใหม่ จำนวนมากไม่มีช่องใส่ดีวีดีและบางเครื่อง มีไดรฟ์โซลิดสเทต ซึ่งมาแทนที่ฮาร์ดดิสก์แบบเดิม และหน้าจอเริ่มรองรับระบบสัมผัสแบบหลายจุด เกือบทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนเป็นการส่งกระแสข้อมูลและบันทึกลงบนแฟลชไดรฟ์ หรือบันทึกใน "Cloud" พื้นที่ออนไลน์สำหรับการใช้แฟ้มร่วมกันและการจัดเก็บข้อมูล Windows Live โปรแกรมและบริการฟรีสำหรับภาพถ่าย และภาพยนตร์ ข้อความโต้ตอบแบบทันที อีเมล และเครือข่ายสังคม เป็นการผนวกรวมกับ Windows ที่สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น เพื่อให้คุณสามารถติดต่อกับพีซีของคุณ โทรศัพท์ หรือเว็บ พร้อมกับมีการขยาย Windows ไปยัง Cloud


การเรียนรู้แนวใหม่ในศตวรรษที่ 21



ศตวรรษที่  21  ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายความสามารถของมนุษยชาติ  เพราะเป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อมูลข่าวสารทุกอย่างก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรอบตัวเราอีกต่อไป แค่เพียงคลิกที่ปลายนิ้ว  เราก็สามารถก้าวข้ามพรมแดนไปได้ทุกซอกทุกมุมโลก  ซึ่งแวดวงทางการศึกษาทั่วโลกต่างก้าวพ้นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ครูเป็นศูนย์กลาง  มาเป็นการเรียนรู้ในแบบกระบวนทัศน์ใหม่  เรียกได้ว่าเป็นการจัดการศึกษายุคฐานแห่งเทคโนโลยี หรือ Technology  Based  Paradigm  ในขณะทีประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญและมุมมองของการเตรียมเด็กไทยสู่ศตวรรษที่  21 ในประเด็นดังต่อไปนี้

คุณลักษณะของเด็กไทยในศตวรรษที่ 21  จะต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญ  3  ประการ

ประการแรก  คือ  มีทักษะที่หลากหลาย  เช่น  สามารถทำงานร่วมกับคนเยอะ  ๆ ได้อย่างรวดเร็ว  รับผิดชอบงานได้ด้วยตนเอง  และรู้จักพลิกแพลงกระบวนการแก้ไขปัญหาได้

ประการที่สอง  คือ มองโลกใบนี้เป็นโลกใบเล็ก ๆ ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะประเทศไทย  เพื่่อมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย

ประการสุดท้าย  คือ  เด็กไทยยุคใหม่ต้องมีทักษะด้านภาษา เพราะหากพูดหรือใช้แต่ภาษาไทยก็เหมือนกับมี "กะลา"มาครอบไว้


การศึกษาในศตวรรษที่  21  ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน (pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต  ทักษะการคิด  และทักษะด้านไอที ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า  เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (data) เหล่านั้นได้ที่ไหน และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (knowledge) ได้  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ครูจะต้องให้เด็กได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเอง

The  Flipped  Classroom หรือ  การเรียนแบบ "พลิกกลับ"  คือ วิธีการเรียนแนวใหม่ที่ฉีกตำราการสอนแบบเดิม ๆ ไปโดยสิ้นเชิงและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบันที่ "การศึกษา" และ "เทคโนโลยี" แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน  Flipped  Classroom  เป็นการเรียนแบบ "กลับหัวกลับหาง" หรือ  "พลิกกลับ"  โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนจากแบบเดิมที่เริ่มจากครูผู้สอนในห้องเรียน  นักเรียนกลับไปทำการบ้านส่ง เปลี่ยนเป็นนักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่าน "เทคโนโลยี" ที่ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้นเรียน และมาทำกิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนำในชั้นเรียนแทน

ในต่างประเทศ วิธีการสอนแบบ "พลิกกลับ"  กำลังเป็นที่แพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น  โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ  Flipped  Classroom นี้ก็คือ  การใช้เทคโนโลยี การเรียนการสอนที่ทันสมัย และการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม  ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่   

ที่มาของการเรียนการสอนแบบ  Flipped  Classroom เกิดขึ้นในปี 2007  โดยครู 2  คน ในรัฐโคโลราโด  สหรัฐอเมริกา  ชื่อ โจนาธาน  เบิร์กแมน  และแอรอน  แซมส์ ได้ถ่ายคลิปวิดีโอการสอนของตนเองเอาไว้สำหรับนักเรียนที่ขาดเรียน เมื่อคลิปบทเรียนของครูทั้งสองเริ่มแพร่ขยายออกไปในวงกว้าง  ครูหลายคนจึงเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ  อาทิ Podcasts  หรือ  YouTube เพื่อสอนนักเรียนนอกห้องเรียนและสงวนเวลาในชั้นเรียนไว้สำหรับการรวมกลุ่มทำแบบฝึกหัด หรือ ทำกิจกรรมร่วมกัน  และผลลัพธ์ที่ได้ คือ ดีกว่าการเรียนการสอนแบบเิดิม นักเรียนจะสามารถศึกษาดูผ่านทางโทรทัศน์ หรือ ในห้องแล็บคอมพิวเตอร์ หรือดูจากที่บ้านได้  เมื่อเข้าชั้นเรียน จะได้ใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆในเรื่องที่สงสัย หรือขอให้ครูอธิบายเพิ่มเติมได้เข้าใจยิ่งขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด

 ในรูปแบบการเรียนการสอนวิธีนี้ ถือว่าเป็นการเรียนการสอนที่เน้นในรูปธรรมให้นักเรียนได้เห็นและปฏิบัติจากประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีการจดจำและเกิดทักษะการเรียนรู้ได้ดีกว่าที่เรียนแบบนามธรรม  แต่ในมุมมองอีกด้านหนึ่งที่กว่าจะสอนให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์ เลือกใช้สื่อที่ถูกต้อง รู้จักเลือกศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจนั้น  ก็จะมีสื่อที่ไม่เหมาะสมกับนักเรียนก็จะแทรกอยู่บนหน้าจอเหมือนกัน  ดังนั้นในการใช้สื่อต่าง ๆในด้านของไอที ก็ควรที่แนะนำให้เข้าใจอย่างแท้จริงและในระยะแรกก็ต้องมีผู้คอยให้คำแนะนำที่ดีไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง  ครูต้องมีส่วนร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนด้วยเหมือนกัน                               


Pencil Printer part II ปริ้นเตอร์ดินสอเพื่อการประหยัดหมึก

          






         ถ้าคุณจะมองหาสิ่งประดิษฐ์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้วล่ะก็ คงต้องขอแนะนำผลงานซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวเกาหลีใต้Hoyoung Lee, Seunghwa Jeong และ Jin-young Yoon อย่าง Pencil Printer part II ที่จะช่วยคุณประหยัดหมึกและกระดาษ เพราะเครื่องปริ้นท์เตอร์ตัวนี้คุณสามารถที่จะลบหมึกที่พิมพ์ทิ้งด้วยยางลบและนำกระดาษกลับมาใช้งานใหม่ได้นั่นเอง

แม้หน้าตาของเครื่อง Pencil Printer part II จะดูเหมือนเครื่องเหลาดินสอไปซักหน่อย แต่การทำงานของเครื่องปริ้นเตอร์นี้เพียงแค่คุณนำดินสอใส่ลงไปในช่องด้านข้าง กดปุ่มเปิดเครื่องและสั่งพิมพ์เอกสารตามปกติ ระบบการทำงานของเครื่องจะนำผงจากไส้ดินสอไปใช้แทนผงหมึกสำหรับเครื่องปริ้นท์เตอร์ทั่วไป ทำให้คุณสามารถลบข้อความที่พิมพ์ออกมาได้โดยง่ายหากพิมพ์ผิด หรือแม้แต่การลบเพื่อนำกระดาษมาใช้ใหม่


Brain-computer Interfaces

   



           ต่อสมองเขาเราเข้ากับคอมเตอร์เพื่อสั่งงานมัน !! ที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและแปลความหมายสัญญาณจากสมองของเราได้ ซึ่งสำเร็จแล้วในบางส่วน สำหรับคนที่เป็นโรคหลดเลือดสมองสามารถเคลื่อนย้ายรถเข็นได้  หรือดื่มกาแฟจากถ้วยด้วยการสั่งการแขนหุ่นยนต์ที่มีคลื่นสมองของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีการปลูกถ่ายสมองให้แก่ผู้ที่สูญเสียการมองเห็นอีกด้วย !


    อ้างอิง: Brain-computer Interfaces


ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ

         Information Technology หรือ IT คือ การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในระบบสารสนเทศ ตั้งแต่กระบวนการจัดเก็บ ประมวลผล และการเผยแพร่สารสนเทศ เพื่อช่วยให้ได้สารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ โดยเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจประกอบด้วย
            
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟท์แวร์ทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในงานเฉพาะด้าน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จัดเป็นเครื่องมือทันสมัย และใช้เทคโนโลยีระดับสูง (High Technology)
            
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน เพื่อรวบรวม จัดเก็บ ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป เช่น การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะของฐานข้อมูล เป็นต้น








ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ 
ประการที่สองเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์ 
ประการที่สามเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว 
ประการที่สี่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง
ประการที่ห้าเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา
ประการที่หกเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น 
            กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ